ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

งานเข้า กกต. เตือน ผู้ที่ไม่ไปเลือกตั้ง ต้องไปแจ้งสาเหตุ ภายใน 31 มี.ค. 62 นี้ (รายละเอียด)


งานเข้า กกต. เตือน ผู้ที่ไม่ไปเลือกตั้ง ต้องไปแจ้งสาเหตุ ภายใน 31 มี.ค. 62 นี้ (รายละเอียด)      


เรียกได้ว่าผ่านพ้นไปแล้วสำหรับการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา แต่ในขณะนี้ยังไม่ได้มีการประกาศว่าใครจะได้เป็นนายกฯคนต่อไป เนื่องจากต้องรอกกต.นับคะแนนให้เสร็จสิ้นและรอบคอบเสียก่อน โดยในวันที่เลือกตั้งมีคนออกไปใช้สิทธิ์จำนวนมาก และก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่ได้ออกไปใช้สิทธิ์ เนื่องด้วยอาจไม่สะดวกต่อการเดินทาง หรืออาจติดธุระจำเป็นบางประการ โดยกกต.ได้ออกมาเตือนผู้ที่ไม่ได้ไปเลือกตั้งต้องแจ้งสาเหตุต่อนายทะเบียนภายใน31มี.ค.นี้เพื่อรักษาสิทธิทางการเมืองสำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แจ้งว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส. เนื่องจากมีเหตุจำเป็น ให้แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ โดยขอรับแบบ ส.ส.1/8
หรือทำหนังสือชี้แจงเหตุที่ทำให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ได้ ยื่นต่อนายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน โดยทำเป็นหนังสือ ซึ่งต้องระบุเลขประจำตัวประชาชน และที่อยู่ตามหลักฐานทะเบียนบ้าน สามารถแจ้งด้วยตัวเองหรือมอบหมายให้ผู้อื่นไปยื่นแทน หรือจัดส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน
ภายใน 7 วันนับแต่วันเลือกตั้งคือระหว่างวันที่ 25-31 มี.ค. 2562 นี้ทั้งนี้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส.แล้วไม่ได้แจ้งเหตุไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง หรือแจ้งแล้วแต่เหตุนั้นไม่เป็นเหตุอันสมควร จะถูกจำกัดสิทธิตามมาตรา 35 แห่ง พ.ร.บประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561
ซึ่งจำกัดสิทธิ 5 ประการ ดังนี้ 1. การยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ส.ส 2. สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. หรือสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือรับเลือกเป็น ส.ว 3. สมัครรับเลือกเป็นกำนันและผู้ใหญ่บ้าน ตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะปกครองท้องที่4. ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมือง

และข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมือง ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการรัฐสภา5. ดำรงตำแหน่งรองผู้บริหารท้องถิ่น เลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ผู้ช่วยเลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น ประธานที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น ที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น หรือคณะที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกจำกัดสิทธิ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิจะต้องแจ้งเหตุจำเป็นก่อนวันเลือกตั้ง 7 วัน (17-23 มี.ค.) หรือหลังวันเลือกตั้ง 7 วัน (25-31 มีนาคม) เพื่อจะได้ไม่ถูกจำกัดสิทธิดังกล่าว ด้านกระทรวงมหาดไทยได้สรุปตัวเลขผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า (นอกเขต และนอกราชอาณาจักร)
ข้อมูลสะสมตั้งแต่ 28 ม.ค. ถึง 11 ก.พ. 2562 โดยนอกเขตเลือกตั้งมีผู้ลงทะเบียนแล้วทั้งสิ้น 723,880 ราย ส่วนนอกราชอาณาจักรมีผู้ลงทะเบียนแล้วทั้งสิ้น 50,142 ราย ใน 67 ประเทศ เหตุที่ทำให้ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ระบุไว้ มีดังนี้ 1. มีกิจธุระจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องเดินทางไปพื้นที่ห่างไกล
2. เจ็บป่วย สูงอายุ ไม่สามารถไปใช้สิทธิได้ 3. เดินทางออกนอกราชอาณาจักร 4. อาศัยอยู่ห่างจากจุดลงคะแนนเลือกตั้ง เกินกว่า 100 กิโลเมตร 5. มีเหตุสุดวิสัยอื่น นอกเหนือจากที่ กกต. กำหนดไว้ ส่วนวิธีการแจ้งเหตุที่ไม่ไปเลือกตั้ง ควรแจ้งก่อนวันเลือกตั้ง 7 วัน จนถึงหลังวันเลือกตั้ง 7 วัน โดยมีขั้นตอนทั้งหมด ดังนี้
1. กรอกแบบฟอร์มหนังสือแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ (ส.ส. 28) โดยระบุหมายเลขประจำตัวประชาชน และที่อยู่ตามหลักฐานทะเบียนบ้าน 2. แนบหลักฐานเหตุจำเป็นที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ 3. ยื่นต่อนายทะเบียนอำเภอและนายทะเบียนท้องถิ่นที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ได้ 3 วิธีการ คือ
ยื่นด้วยตนเองมอบหมายบุคคลอื่นไปยื่นแทน ส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน สิทธิทางการเมืองที่เสียไป จะกลับมาอีกครั้ง เมื่อใด ? การจำกัดสิทธิทั้ง 5 ประการ มีกำหนดระยะเวลา 2 ปีนับแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และหากในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ผู้นั้นไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งอีกให้นับเวลาการจำกัดสิทธิครั้งหลังนี้
โดยนับจากวันที่มิได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งใหม่ หากกำหนดเวลาการจำกัดสิทธิครั้งก่อนยังเหลืออยู่เท่าใดให้กำหนดเวลาการจำกัดสิทธินั้นสิ้นสุดลง ข้อมูลจาก พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2561, สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง

ขอบคุณ siamnews.com

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

นางฟ้ามาโปรด คุณลุงตกงาน เดินตากแดด อยากกลับบ้าน แต่มีเงินติดตัวแค่ 20 บาท

นางฟ้ามาโปรด คุณลุงตกงาน เดินตากแดด อยากกลับบ้าน แต่มีเงินติดตัวแค่ 20 บาท      เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวดีๆที่มีผู้คนร่วมแชร์เป็นอย่างมาก เมื่อสาวคนหนึ่งกำลังจะไปทานข้าว แต่ระหว่างทางเธอได้เจอกับคุณคนหนึ่ง เดินแบกกระเป๋าตากแดดอยู่ จึงได้จอดรถและช่วยเหลือโดยเธอได้เล่าว่า “ขับรถออกมากินข้าว ขากลับเจอคุณลุงเดินตากแดดร้อนๆ อยู่ถนนตรงบางพระ เลยจอดถามว่า คุณลุงจะไปไหนค่ะ เรื่องมีอยู่ว่า คุณลุงเป็นคนอุบล มาหางานทำที่ชลบุรี แต่ไม่มีงาน เลยอยากจะกลับบ้านที่อุบล แต่มีเงินติดตัวอยู่แค่20 บาท เลยลองเดินหางานทำหวังได้ค่ารถกลับบ้าน อ้อมเลยอาสาไปส่งคุณลุงที่คิวรถตู้ตรงหน้าโรบินสัน ศรีราชา แล้วมอบเงินให้ลุงเป็นค่ารถกลับ 1,000 บาท #หวังว่าคงจะช่วยคุณลุงได้บ้างนะคะ (คุณลุงหูไม่ดีค่ะพูดไม่ค่อยได้ยิน ต้องพูดดังๆถึงจะพอได้ยินบ้างแต่ไม่ทุกคำ)” ซึ่งหลังจากที่ได้มีการเผยแพร่เรื่องราวออกไป ก็ได้มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นชื่นชมเป็นอย่างมาก เธอก็บอกว่าไม่เป็นไรและช่วยเหลือลุง ขอปรบมือรัวๆให้เลยจริงๆสำหรับสาวสวยใจดีคนนี้ ภาพจาก อรย...

แม่ใจสลาย ลูกไลฟ์สดผูกคอต่อหน้า ไม่กล้าออกไปช่วยเพราะกลัวเคอร์ฟิว

เมื่อวันที่ 25 เม.ย. รับแจ้งจากชาวบ้าน บ้านสี่เหลี่ยม ต.สี่เหลี่ยม อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ว่าเกิดเหตุสลดชายหนุ่มในหมู่บ้าน ซึ่งไปทำงานรับจ้างอยู่ที่ จ.ปทุมธานี ได้ถ่ายทอดสดหรือไลฟ์ผ่านเฟซบุ๊ก ขณะกำลังจะผูกคอตัวเองภายในห้องพัก เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. วันที่ 24 เม.ย. ซึ่งญาติพี่น้อง และเพื่อนๆ ที่เห็นไลฟ์ ต่างพยายามโทรและส่งข้อความเข้าไปปลอบใจ แต่ก็ไม่เป็นผล ชายหนุ่มคนดังกล่าวตัดสินใจใช้เชือกผูกคอตัวเองเสียชีวิตต่อหน้าญาติและเพื่อนๆ ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านเกิดของผู้เสียชีวิต พบญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านกำลังช่วยกันจัดเตรียมสถานที่ เพื่อรอรับร่างนายเอกพงษ์ หรือเอก อายุ 32 ปี ที่ไลฟ์ผูกคอเสียชีวิต กลับมาประกอบพิธีบำเพ็ญกุศล ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจของครอบครัว โดยเฉพาะนางเอียด รักษา อายุ 54 ปี ผู้เป็นแม่ ที่ทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเห็นลูกก่อเหตุต่อหน้า แต่ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะอยู่ไกล ทั้งนี้ทราบว่าเพื่อนที่ทำงานด้วยกันที่ จ.ปทุมธานี ที่เห็นไลฟ์ก็พยายามโทรไปปลอบใจ แต่ไม่กล้าออกไปช่วยเพราะกลัวเลยเวลาเคอร์ฟิว เนื่องจากตอนเกิดเหตุก็ประมาณ 3 ทุ่มเศษแล้ว นางเอียด ก...

เริ่มปุ๊บ ล่มปั๊บ! ‘เราไม่ทิ้งกัน ลงทะเบียนรับ 5,000

เว็บไซด์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com ที่ใช้ลงทะเบียนรับสิทธิ์เงินเยียวยาจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รายละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือนนั้น รัฐบาลระบุว่า ระบบสามารถรองรับการทำธุรกรรมได้ถึง 58,000 รายการในเวลาเดียวกัน หรือคิดเป็นจำนวน 3.48 ล้านคนต่อนาที โดยคาดว่าระบบจะสามารถรองรับจำนวนประชาชนที่ต้องการเข้ามาลงทะเบียนออนไลน์ได้แบบไร้กังวล แต่ล่าสุดดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น ผ่านไปไม่ถึงนาที ระบบก็ล่มแล้ว คาดว่าเพราะมีประชาชนแห่ลงทะเบียนกันเป็นจำนวนมาก  สำหรับมาตรการรับเงินเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะให้สิทธิ์เฉพาะคนที่มีคุณสมบัติตรงตามที่ระบุไว้เท่านั้น คือผู้ลงทะเบียนต้องมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เป็นผู้ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม เป็นแรงงาน ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระ ให้เตรียมหลักฐานบัตรประจำตัวประชาชน ข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลประกอบอาชีพ ข้อมูลนายจ้าง